ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขากล่าวไว้เมื่อปี พ.ศ. 2317 พระเจ้าตากสินมหาราช โปรดเกล้า ฯ ให้พระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าจุ้ยกับพระยาธิเบศร์บดี จางวางมหาดเล็ก ยกทัพไทย จำนวน 3,000 คน ออกมาตั้งรักษาเมืองราชบุรี เนื่องจากอะแซ่หวุ่นกี้แม่ ทัพพม่าได้ให้งุยอคงหวุ่นคุมพล 5,000 คน ยกกองทัพตามครอบครัวมอญที่อพยพหนีเข้ามา กองทัพพม่าสามารถตีกองทัพไทย ที่รักษาค่ายท่าดินแดงแตก แล้วยกเข้ามาตั้งค่ายที่ปากแพรก หลังจากนั้นได้แบ่งพลออกเป็น 2 กอง ส่วนหนึ่งรักษาค่ายอยู่ที่ปากแพรก ที่เหลือ 3,000 คน ยกลงมาตามแม่น้ำแม่กลองฝั่งตะวันตกเที่ยวปล้นทรัพย์จับเฉลยในแขวงเมือง ราชบุรี เมืองสมุทรสงคราม และเมืองเพชรบุรี เมื่อมาถึงตำบลนางแก้วทราบว่ามีกองทัพไทยตั้งอยู่ที่เมืองราชบุรี งุยอคงหวุ่น จึงให้หยุดทัพตั้งค่ายซึ่งบริเวณตำบล โคกกระต่ายในทุ่งธรรมเสน เป็นที่ตั้งค่ายของกองทัพไทย ซึ่งนำโดยพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้าจุ้ย ส่วนกองทัพพม่าได้ตั้งค่าย อยู่ที่นางแก้วซึ่งห่ออกไปไม่มากนัก พื้นที่บริเวณโคกกระต่ายนี้ เป็นชาวบ้านเคยขุดพบกระดูกคนและสัตว์เป็นจำนวนมาก และจากการไถ ปาดหน้าดินก็จะพบเศษภาชนะดินเผากระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ |
หลักฐานทางโบราณคดี : แหล่งโบราณนคดีบ้านโคกกระต่ายมีสภาพเป็นเนินดินสูงประมาณ 60 เซนติเมตร จากท้องนาโดยรอบ มีพื้นของเนินทั้งหมดประมาณ 30 ไร่ ปัจจุบันพื้นที่บางส่วนถูกปรับสภาพให้เป็นทุ่งนา บางส่วนมีการไถปาดเอาหน้าดินออกไป บนผิวดินพบวัตถุกระจัดกระจายอยู่เป็นจำนวนมาก ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเนินมีศาลไม้ขนาดเล็กตั้งอยู่ ชาวบ้านเรียกว่า ศาลพระเจ้าตากสิน จากการสำรวจบริเวณดังกล่าวปรากฏแนวคูน้ำ ซึ่งเป็นคูค่ายโบราณอยู่บางส่วน เนื่องจากส่วนใหญ่จะถูกทำลาย ปรับสภาพกลายเป็นทุกนาไปหมดแล้ว โบราณวัตถุที่พบบนผิวหน้าดิน และที่ชาวบ้านเก็บรักษาไว้จะมีลักษณะดังนี้คือ ชิ้นส่วนภาชนะดินเผาเนื้อหยาบ พบเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะบริเวณทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของตัวเนิน ซึ่งสันนิฐานว่าเป็น ที่ตั้งค่าย ลักษณะของเศษภาชนะดินเผาที่พบส่วนใหญ่มีเนื้อหยาบ มีรูพรุนมาก เผาด้วยอุณหภูมิต่ำ สีน้ำตาลแดง สีน้ำตาล สีดำและขาวขุ่นพบทั้งที่เป็นเศษภาชนะผิวเรียบไม่มีการตกแต่งผิว และเศษภาชนะที่มีการตกแต่งผิวเป็นส่วนของลำตัวภาชนะ ปาก ไหล่ ก้น ประเภทของภาชนะดินเผาที่พบนั้น จะมีความหลากหลาย เช่น หม้อก้นกลมมน มีสันที่ไหล่ สมัยทวารวดี หม้อก้นกลมมนปากบาน มีลายตกแต่งผิวแบบหม้อทะมน สมัยกรุงศรีอยุธยา ส่วนใหญ่ภาชนะดินเผาเหล่านี้จะเป็นเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ชิ้นส่วนภาชนะดินเผาเนื้อแกร่ง พบเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน แต่จะอยู่บริเวณกลางเนินและทางด้านทิศตะวันออกของเนิน ซึ่งติด กับหนองน้ำ เศษภาชนะดินเผาเนื้อแกร่งนี้พบทั้งที่เป็นภาชนะดินเผาในประเทศและ ภาชนะดินเผาที่มีการนำเข้ามาจากต่างประเทศ ได้แก่ |
เศษภาชนะดินเผาเนื้อแกร่ง เผาด้วยอุณหภูมิสูง มีการเคลือบผิวสีน้ำตาลหรือเขียวลายสีน้ำตาลและดำใต้เคลือบใส แบบเครื่องถ้วย ที่ผลิตจากแหล่งเตาศรีสัชนาลัย และแหล่งเตาเมืองสุโขทัยเก่า จังหวัดสุโขทัย |
เศษภาชนะดินเผาเนื้อแกร่ง สีขาวนวล ลักษณะเป็นแจกันเครื่องถ้วยชิงไป๋จากแหล่งเตาฟูเจี้ยนในประเทศจีน และภาชนะเคลือบ เขียว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกระปุกหรือจานขนาดใหญ่ จากเตาหลงฉวนสมัยราชวงศ์หยวน (พุทธศตวรรษที่ 19 - 20) นอกจากนั้นก็จะเป็นเครื่องถ้วยลายครามในสมัยราชวงศ์ หมิง - ชิง (พุทธศตวรรษที่ 21 - 23) ลูกปัดแก้ว จากการสำรวจพบจำนวน 3 ลูก เป็นลูกปัดแก้วสีฟ้า ลักษณะกลมแบนเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.2 เซนติเมตร แบบลูกปัด สมัยทราวดี ปี้ ลักษณะเป็นเหรียญทรงกลม ทำจากเครื่องเคลือบเนื้อแกร่งสีขาว ด้านหน้ามีตัวอักษรจีน 4 ตัว เขียนด้วยสีครามอยู่ในวงกลม ขนาดเส้นศูนย์กลาง 1.5 เซนติเมตร ปี้นี้จะใช้แทนเงินสดสำหรับเล่นพนันในบ่อนต่าง ๆ สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น |
กระปุกขนาดเล็ก เนื้อแกร่งสีขาวขุ่น ดัดตรง ปากตรง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร สูง 3 เซนติเมตร เป็นเครื่องถ้วย จีนแบบชิงไป๋ พุทธศตวรรษที่ 17 - 19 สันนิษฐานว่าน่าจะใช้สำหรับใส่เครื่องหอม เนื่องจากกระปุกมีขนาดเล็กมาก |
กล้องยาสูบดินเผา เนื้อหยาบเผาด้วยอุณหภูมิต่ำ ผิวเรียบไม่มีการตกแต่ง ปลายกล้องบานออก ตัวกล้องบริเวณที่ใช้สูบชำรุด ขนาดยาวประมาณ 4 เซนติเมตร สูง 3.5 เซนติเมตร |
ลวดลายประดับภาชนะดินเผา ลักษณะเป็นดินเผาเนื้อแกร่งสีเทาดำ เป็นรูปคล้ายกระจังปลายม้วนเข้าด้านใน ส่วนมากจะใช้ ประดับบริเวณของไหล่ภาชนะดินเผา ซึ่งผลิตจากแหล่งเตาเผาบ้านบางปู ตำบลวิหารแดง จังหวัดสุพรรณบุรี ส่วนหัวตุ๊กตาเสียกบาล ทำจากดินเผาเนื้อหยาบ สีน้ำตาลแดง ลักษณะเป็นหัวตุ๊กตามีจุกม้วนอยู่บนศีรษะ ลายละเอียดของส่วน ใบหน้าไม่มี มีเฉพาะจมูกและหูกว้าง ขนาดกว้าง 3 เซนติเมตร สูง 4.2 เซนติเมตร ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยา |
เศษอิฐ พบบริเวณกลางเนิน ลักษณะเป็นแนวเรียงอิฐ เป็นแนวจากชั้นตัดของหน้าดินจะเห็นแนวของอิฐบด และปูนขาว อัดแน่น เป็นฐานราก ปัจจุบันแนวอิฐดังกล่าวถูกทำลายเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย ขนาดของอิฐกว้าง 9 เซนติเมตร ยาว 24 เซนติเมตร หนา 5 เซนติเมตรจากหลักฐานที่พบทั้งหมดจากแหล่งโบราณคดีแห่งนี้ สามารถสรุปได้ว่าแหล่งโบราณคดีบ้านโคกกระต่าย เป็นแหล่ง ชุมชนที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่ในสมัยโบราณ อาจจะกล่าวได้ว่า ตั้งแต่ก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา และในมัยกรุงศรีอยุธยาก็เป็นชุมชน แหล่งหนึ่งที่มีการติดต่อกับชาวต่างชาติ เช่น พ่อค้าชาวจีนที่มาค้าขายในตัวเมืองราชบุรี สืบเนื่องจากแหล่งโบราณคดีแห่งนี้ ตั้งอยู่ในเส้นทางที่สามารถติดต่อกับเมืองราชบุรีได้ โดยสะดวกในการใช้เส้นทางน้ำ ประกอบกับบริเวณที่ตั้งของแหล่งโบราณคดีเป็น พื้นที่ราบที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการตั้งถิ่นฐานและตั้ง อยู่ในเส้นทางการเดินทัพที่สำคัญในสมัยกรุงธนบุรีปี พ.ศ. 2317 สมเด็จพระเจ้าตากสินได้มาตั้งค่ายพักทัพเพื่อสู้รบกับพม่าที่บางแก้ว ณ บ้านโคกกระต่าย แสดงว่าชุมชนตรงนี้จะต้องมีความสำคัญ และมีความอุดมสมบูรณ์ที่จะจัดส่งเสบียงให้แก่กองทัพได้ |
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์อันสำคัญยิ่งดังที่กล่าวนี้ จังหวัดราชบุรี จึงได้ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทำการศึกษาค้นคว้า รวบรวมข้อมูล และนำเผยแพร่สู่สาธารณชนคนไทยทุกหมู่เหล่า เพื่อร่วมกันเทิดพระเกียรติ พระวีรกรรมอันปรีชาสามารถของ พระองค์ที่ทรงรักษาผืนแผ่นดินไทยเอาไว้ให้ลูกหลานไทยจนปัจจุบัน |
จังหวัดราชบุรีดำริจะฟื้นฟู พัฒนาพื้นที่บริเวณค่ายโคกกระต่าย ตำบลธรรมเสน อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ให้เป็นแหล่งสำคัญ ทางประวัติศาสตร์ที่สมพระเกียรติ และเป็นสถานที่เคารพสักการะบูชาพระเจ้าตากสินมหาราช สำหรับคนรุ่นหลังสืบไป |